สารบัญเนื้อหา
ปัจจุบันมีธุรกิจอีคอมเมิร์ซเกิดขึ้นใหม่มากมายให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ และหากคุณคือแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องการเปิดร้านค้าบนเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าของตัวเองแล้วนั้น คุณควรเลือกทำเว็บไซต์ที่มีระบบตะกร้าสินค้ารองรับ ซึ่งการใช้ WordPress ในการทำเว็บไซต์จึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากที่สุดในเวลานี้ เพราะว่า WordPress สามารถทำระบบตะกร้าสินค้าโดยใช้ปลั๊กอิน WooCommerce ได้ และปัจจุบันมีร้านค้าอีคอมเมิร์ซประมาณ 2.3 ล้านแห่งทั่วโลกใช้ WooCommerce บนเว็บไซต์ของตังเอง วันนี้เราจึงอยากจะมาเล่าที่มาที่ไปคร่าวๆของ WooCommerce ให้ท่านผู้อ่านที่สนใจปลั๊กอินตัวนี้ตัวนี้ได้ทราบกันว่า WooCommerce คืออะไร? ทำไมต้องใช้ WooCommerce ทำร้านค้าออนไลน์?
WooCommerce คืออะไร?
WooCommerce เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 โดย 2 นักพัฒนาที่มีชื่อว่า Mike Jolley และ James Koster ที่ต้องการทำปลั๊กอินอีคอมเมิร์ซเลียนแบบ Jigoshop ก่อนที่ในปี 2015 Automattic บริษัทแม่ของ WordPress จะเข้าซื้อกิจการ WooCommerce และปลั๊กอินในเครือ WooThemes
WooCommerce เป็น plugin อีคอมเมิร์ซ ทำระบบตะกร้าสินค้า สำหรับ WordPress ที่ช่วยให้การสร้างและจัดการร้านค้าออนไลน์เป็นเรื่องง่ายดาย ระบบมีความความยืดหยุ่น และมีฟังก์ชั่นที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น ระบบการสั่งซื้อสินค้า ระบบการจัดการสินค้า ระบบการชำระเงิน และการจัดส่งสินค้า เป็นต้น
ทำไมต้องใช้ WooCommerce สร้างร้านค้าออนไลน์?
ทุกวันนี้ WooCommerce ก็ยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะใช้งานง่ายแล้ว ก็เข้ากันได้ดีกับปลั๊กอินตัวอื่น ๆ ใน WordPress ด้วย และนี่คือ 10 เหตุผลว่าทำไมร้านค้าออนไลน์ควรใช้งานWooCommerce
1. WooCommerce ใช้งานฟรี
เหตุผลแรกคือปลั๊กอิน WooCommerce สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี โดยผู้ใช้งานไม่ต้องเสียค่าบริการรายปีแพง ๆ จึงทำให้เจ้าของกิจการร้านค้าลดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ หรือเสียค่าใช้จ่ายสูง ๆ ในส่วนนี้ แต่ถ้าต้องการเพิ่มส่วนขยายอื่น ๆ หรือการชำระเงินด้วย WooCommerce ก็อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
2. WooCommerce เป็นระบบโมดูลาร์
WooCommerce ถูกออกแบบการใช้งานให้เป็นแบบระบบโมดูลาร์ที่สามารถเพิ่มส่วนขยายปลั๊กอินอื่น ๆ ได้ ดังนั้นผู้ใช้งาน WooCommerce จึงได้ประโยชน์เป็นสองเท่า เพราะไม่เพียงเข้าถึงปลั๊กอินและธีมของWordPress ได้หลายพันรายการได้แล้ว ยังมีทีมงานผู้พัฒนาที่คอยสร้างส่วนขยายอื่น ๆ เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงานที่โปรแกรมทั่วไปไม่สามารถทำได้อีกด้วย
3. WooCommerce ทำงานร่วมกับ WordPress ได้ลงตัว
WooCommerce เป็นปลั๊กอินเสริมของ WordPress ที่ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี และเนื่องจาก WordPress เป็นเว็บไซต์ยอดนิยมที่ธุรกิจหลายล้านรายเลือกใช้ จึงมีระบบการทำงานที่รวดเร็ว ปลอดภัย และใช้งานง่าย ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่าง WordPress และ WooCommerce เป็นไปอย่างราบรื่นและไม่สะดุด
4. WooCommerce ขายอะไรก็ได้
WooCommerce เป็นปลั๊กอินที่มีความยืดหยุ่นอย่างแท้จริง จึงเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ในการขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่จับต้องได้ การลงทะเบียน สมัครสมาชิก การนัดหมาย สินค้าที่เป็นชิ้นเดียวหรือจำนวนมากมาย WooCommerce จึงเปรียบเสมือนแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซสารพัดประโยชน์
5. WooCommerce มีนักพัฒนาที่พร้อมช่วยเหลือ
ทั้ง WooCommerce และ WordPress ต่างเป็นซอฟต์แวร์แบบ Open source หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งานได้ฟรี ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าใครก็สามารถใช้งาน ดัดแปลง แก้ไข หรือเพิ่มฟังก์ชันต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ที่สำคัญ WooCommerce ยังมีกลุ่มนักพัฒนาและมืออาชีพจำนวนมากที่พร้อมสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือ ถ้าต้องการปรับปรุงร้านค้า WooCommerce ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด และด้วยการใช้งานที่แพร่หลายและมีทีมพัฒนาที่เป็นเครือข่าย ทำให้อุ่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้มากยิ่งขึ้น
6. WooCommerce มีระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ทรงพลัง
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของ WooCommerce คือ มีระบบการวิเคราะห์ข้อมูลในตัวที่จะช่วยในการวิเคราะห์ลูกค้าและทำให้รู้จักลูกค้ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีเครื่องมือการวิเคราะห์อื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้งานง่าย และยังสามารถใช้งานร่วมกับผู้ให้บริการเจ้าอื่น ๆ อย่าง Google Analytics ในการเป็นส่วนขยายได้อีกด้วย
7. WooCommerce รองรับการเติบโตของธุรกิจของคุณ
ไม่ว่าร้านค้าออนไลน์ของคุณจะเป็นร้านค้าขนาดเล็กหรือใหญ่ก็สามารถใช้งาน WooCommerce ได้ เพราะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ จึงสามารถจัดการสินค้าจากสินค้าเพียงไม่กี่รายการไปจนถึงสินค้าหลายพันรายการ และจากผู้ซื้อไม่กี่รายต่อวันเป็นผู้ซื้อหลายร้อยรายต่อวินาที ดังนั้นเมื่อเว็บไซต์ของคุณโตขึ้น ฟังก์ชันการทำงานของ WooCommerce ก็ยังสามารถทำงานร่วมกับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. WooCommerce มีระบบการจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ (CMS) ชั้นเลิศ
คอนเทนต์ด้านการตลาดอีคอมเมิร์ซถือเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับร้านค้าออนไลน์ จึงต้องมีระบบการจัดการเนื้อหาเว็บไซต์หลังบ้าน (CMS) ซึ่ง WooCommerce มีระบบ CMS ที่ยอดเยี่ยม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีตัวเลือกในการจัดการเนื้อหาที่หลากหลายให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ได้ รวมถึงการทำบล็อก แลนดิ้งเพจ และการทำการตลาดผ่านอีเมลด้วย อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับปลั๊กอิน SEO อย่างYoast WooCommerce SEO ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคอนเทนต์ให้ค้นหาได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย
9. WooCommerce โหลดหน้าเว็บได้รวดเร็ว
ทั้ง WordPress และ WooCommerce สามารถตอบสนองได้ดีกับร้านค้าออนไลน์ทุกขนาดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็สามารถโหลดหน้าเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วทันใจ แต่ถ้าต้องการที่จะเพิ่มความเร็วให้กับร้านค้ายิ่งขึ้นก็สามารถทำได้ผ่านการใช้โฮสติ้ง WooCommerce ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน
10. WooCommerce ถูกออกแบบมาเพื่อการขาย
ข้อดีอีกอย่างของ WooCommerce คือถูกออกแบบมาเพื่อการขายให้กับร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงมีทุกสิ่งที่ผู้ใช้งานอีคอมเมิร์ซรายใหม่ต้องการเพื่อเริ่มต้นและใช้งาน ดังนี้
- มีบริการชำระเงินออนไลน์กว่า 100 แห่งที่สามารถเข้ากับร้านค้าของคุณได้
- มีวิธีการจัดส่งและจัดการสินค้าหลายวิธี
- มีระบบหลังบ้านที่ใช้งานง่าย ช่วยให้จัดการร้านค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สามารถเลือก ธีม WooCommerce ระดับพรีเมียมได้ฟรี หรือสร้างธีมที่กำหนดเองเพื่อให้ร้านค้ามีหน้าตาที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร
- มีคู่มือชั้นเลิศที่มีคำแนะนำสำหรับผู้ใช้งานอีคอมเมิร์ซรายใหม่
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คงจะเห็นกันแล้วว่า WooCommerce มีการทำงานที่เป็นมืออาชีพ รวดเร็ว ใช้งานง่าย และยังสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณได้ จึงตอบโจทย์ในการสร้างร้านค้าออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และแสดงให้เห็นว่าของฟรีดี ๆ มีอยู่จริง!
ข้อจำกัดของการใช้งาน Woocommerce
1. ระบบพิมพ์ใบสั่งซื้อไม่มีมาให้ ถ้าต้องการจำเป็นจะต้อง Download มาติดตั้งเสริม
2. Woocommerce ออกแบบมาเพื่อเป็นเว็บไซต์ร้านค้าทั่วไปๆ อะไรที่เราต้องการเสริมเฉพาะ เช่นอยากจะแบ่งกลุ่ม Customer VIP กับ Customer ให้เห็นราคาของสินค้าที่เเตกต่างกันก็ไม่สามารถทำได้ ถึงเเม้จะมีระบบคูปองเข้ามาช่วยก็ตามมันก็ยังใช้งานยากอยู่พอสมควร
3. จัดการเรื่องสิทธิ์การเข้าใช้งานยากกว่า E-commerce ตัวอื่นๆ ถ้าจัดการเรื่องสิทธ์ไม่ได้ เราก็จะเพิ่ม admin (คนดูแล) ตามสิทธิ์การเข้าใช้เเต่ละเมนูได้ยาก ทำให้ขนาดของเว็บไซต์ไม่เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขายสินค้าที่มีขนาดใหญ่ อีกทั้งตัว Customer ก็จัดระดับประเภทของลูกค้าได้ยาก บางทีเราก็จำเป็นอยากจะแยกประเภทของ Customer ตามประเภทสินค้าต่างๆ ก็ยังทำไม่ได้
4. ระบบคำนวนค่าขนส่ง คิดตามน้ำหนักของสินค้าไม่ได้ จะตั้งเรทราคาตามน้ำหนักไม่ได้
5.ตัวสินค้าที่เพิ่มหน้าร้าน ไม่สามารถระบุภาษาที่หลากหลายได้ อันนี้ทำให้ E-commerce ตัวอื่นๆ น่าสนใจขึ้นมาเลยที่เดียว เพราะว่าในยุคปัจจุบันนี้เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับ Multi-Language
6. ใส่ลายน้ำให้กับภาพสินค้าไม่ได้ อีกหนึ่งความสามารถที่ถ้าเทียบกับ E-commerce ตัวอื่นถือว่ายังมีความจำเป็นอยู่ เพราะมันจะเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกกับเจ้าของร้านอย่างมาก
7. ไม่สามารถสร้างฟังก์ชั่นสร้างตัวกรองสินค้าได้ เช่น ถ้าต้องการจะหาเรทราคาของสินค้าตั้งเเต่ 500 – 2000 ก็ไม่สามารถทำได้
สรุป WooCommerce เป็นปลั๊กอินที่สร้งมาเพื่อให้ WordPress สามารถเป็นเว็บไซต์ CMS ขายสินค้าได้ การใช้งานโดยรวมทั่วๆไปของเว็บขายสินค้าเเล้วถือว่าทำได้ เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ที่มีการขายสินค้าค่อยข้างที่จะมีจำนวนไม่เยอะมากนัก เพราะว่าระบบจัดการบางอย่างยังไม่มีเข้ามาทั้งนี้อาจจะต้อง Download เสริมเพิ่มเติมเเละอาจจะต้องมีการปรับแต่งความสามารถเพิ่มเยอะสะหน่อยเพื่อ ให้เหมาะกับเว็บไซต์ขายหน้าร้านขนาดใหญ่
หากคุณไม่ต้องการความยุ่งยากและมีเวลาจำกัด เรามีบริการรับทำเว็บไซต์ด้วย หากสนใจทำเว็บไซต์ ท่านสามารถติดต่อเราได้ดังนี้
- ดูแพคเกจเว็บไซต์ >> ดูแพคเกจ
- แจ้งรายละเอียดเว็บไซต์ที่ต้องการ เช่น ชื่อเว็บไซต์ อีเมล์ที่จะใช้งาน ชื่อร้านค้า เลขประจำตัวผู้เสียภาษี ที่อยู่ เบอร์ติดต่อ
ส่งรายละเอียดมาได้ 3 ช่องทางได้แก่
- ทางเว็บไซต์กรอกข้อมูลหน้าเว็บไซต์ >> ติดต่อเรา
- ทาง Line ID : @symdra (มี @ ด้านหน้า)
- ทางอีเมล์ symdra168@gmail.com
- หากไม่สะดวกช่องทางข้างต้น ท่านสามารถโทรเข้ามาได้ที่เบอร์ 098-3335155
ที่มา : mdsoft.co.th, nexcess.net